Wednesday, September 4, 2013
“KitKat” android new version
Android is the operating system that powers over 1 billion smartphones and tablets. Since these devices make our lives so sweet, each Android version is named after a dessert: Cupcake, Donut, Eclair, Froyo, Gingerbread, Honeycomb, Ice Cream Sandwich, and Jelly Bean. As everybody finds it difficult to stay away from chocolate we decided to name the next version of Android after one of our favorite chocolate treats, Kitkat®!
กูเกิล(Google)เผยชื่อระบบแอนดรอยด์เวอร์ชันใหม่”KitKat” หลังซุ่มเงียบมาพักใหญ่ พร้อมตั้งหุ่นช็อกโกแลตยักษ์หน้าตึกที่ทำการตามธรรมเนียม ระบุชัดความร่วมมือครั้งนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝงเป็นความสมัครใจร่วมของทั้ง 2 บริษัท ด้านเนสท์เล่เจ้าของแบรนด์ KitKat เล่นด้วยทำเว็บเฉพาะกิจพร้อมออกช็อกโกแลตเวอร์ชันใหม่ “KitKat 4.4" วางขายใน 19 ประเทศทั่วโลกเช่นกัน
ชื่อระบบแอนดรอยด์เวอร์ชันใหม่ล่าสุดเปิดเผยอย่างเป็นทางการหลังจากมีหุ่น”KitKat” ตั้งตระหง่านอยู่หน้าตึกที่ทำการกูเกิล พร้อมข้อความบนโซเชียลมีเดียจากผู้บริหารกูเกิลประหนึ่งว่าเจ้าสิ่งนี้จะนำพาไปสู่การใช้งานแอนดรอยด์ที่มากกว่า 1 พันล้านเครื่องในอนาคต ด้วยภาพประกอบซึ่งก็คือหุ่นช็อกโกแลตยักษ์ที่ทุกคนรู้จักกันดีในนามว่า “KitKat”
ก่อนหน้านี้ชื่อที่คาดว่าจะเป็นเวอร์ชันใหม่ของแอนดรอยด์เวอร์ชัน 4.4 นี้ได้ถูกเรียกกันภายในองค์กรว่า Key Lime Pie ซึ่งเป็นชื่อขนมพายชนิดหนึ่งที่มีรสชาดของมะนาวเป็นส่วนประกอบ แต่ด้วยเหตุผลของความนิยมที่ไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง การเสนอชื่อ KitKat เพื่อเปลี่ยนชื่อจึงเริ่มขึ้นโดยการติดต่อทางเนสท์เล่และก็ได้รับการตอบรับให้ใช้ชื่อนี้ได้ในเวลาต่อมา แต่กระนั้นเพื่อเป็นการปกปิดข่าวการเปลี่ยนชื่อดังกล่าวทั้ง 2 บริษัทยังคงต้องทำงานอย่างเงียบเพื่อป้องกันข่าวรั่วไหล แม้แต่เอกสารภายในก็ยังคงใช้ชื่อ Key Lime Pie เป็นชื่อเรียกแอนดรอยด์เวอร์ชันใหม่นี้ และพนักงานกูเกิลส่วนใหญ่เพิ่งรู้ว่าแอนดรอยด์เวอร์ชันใหม่จะมีชื่อว่า “KitKat”ก็เมื่อเห็นว่ามีหุ่นมาตั้งที่หน้าตึกนั่นเอง
ทั้งนี้ลำดับชื่อของแอนดรอยด์ในเวอร์ชันที่ผ่านมาล้วนเป็นชื่อขนมหวานแทบทั้งสิ้น โดยมีทั้ง Cupcake, Donut, Eclair, Froyo, Gingerbread, Honeycomb, Ice Cream Sandwich และล่าสุด Jelly Bean การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้ยังได้รับการยืนยันจากผู้บริหารระดับสูงของทางกูเกิลว่าไม่มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด เป็นเพราะชื่อเรียกที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีเป็นสาเหตุและสาระสำคัญของการเปลี่ยนชื่อมาใช้ “KitKat” ขณะที่ผู้บริหารด้านการตลาดเนสท์เล่ Patrice Bula กล่าวติดตลกว่า การตัดสินใจครั้งนี้หากแอนดรอยด์ 4.4 ”KitKat” มีมัลแวร์หรือแครชบ่อยจนทำให้เสียชื่อไปถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ KitKat ตัวเขาเองก็อาจจะโดนไล่ออกก็เป็นได้
Tuesday, June 25, 2013
อึดสุดๆ เยอรมันพัฒนาแบตเตอรี่ใช้ได้นาน 27 ปี
| |||
รายงานของ Phys.org ระบุว่า เจ้าหน้าที่บริษัทศูนย์วิจัยพลังงานแสงอาทิตย์และไฮโดรเจนบาเดน-วืทเท มเบิร์ก (Centre for Solar Energy and Hydrogen Research Baden-Württemberg :ZSW) ในเยอรมนี เผยว่าได้พัฒนาแบตเตอรีลิเทียม-ไอออน ที่สามารถประจุไฟซ้ำได้ถึง 10,000 รอบ โดยที่ยังคงเก็บประจุได้ 85% เมื่อใช้งานถึงรอบดังกล่าว
หากใช้งานแบตเตอรี่ดังกล่าวกับรถไฟฟ้า ทีมวิจัยระบุว่า ผู้ใช้สามารถประจุไฟซ้ำทุกวันเพื่อใช้งานแบตเตอรีก้อนดังกล่าวนานถึง 27.4 ปี ขณะที่แบตเตอรีของยานพาหนะไฟฟ้าในปัจจุบันมีราคาแพงมาก แต่ต้องเปลี่ยนหลังจากใช้งานเพียง 8-10 ปี หรือบางกรณีเพียงแค่ 3 ปี และกลายเป็นปัจจัยที่หลายคนไม่เลือกใช้รถไฟฟ้า
อายุแบตเตอรี่ที่ยาวนานได้ 25-30 ปี ซึ่งอาจจะทนกว่าชิ้นส่วนอื่นๆ ของรถยนต์ รวมถึงทนกว่าตัวรถเอง อีกทั้งมีราคาไม่แพง จะกลายเป็นเหตุผลกระตุ้นให้ผู้ซื้อรถเปลี่ยนใจจากรถยนต์ที่ยังต้องพึ่งพา พลังงานฟอสซิล มาเป็นรถไฟฟ้าแทน
ทว่าการประกาศของ ZSW ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่อุตสาหกรรมยานนต์มากนัก เพราะเมื่อปีที่ผ่านมาทางบริษัทได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสารเจอร์นัลออ ฟพาวเวอร์ซอร์ส (Journal of Power Sources) ซึ่งอธิบายถึงงานวิจัยด้านการปรับปรุงกระบวนการผลิตอิเล็กโทรดระดับ อุตสาหกรรม ซึ่งพวกเขาอ้างว่าจะยืดอายุการใช้งานแบตเตอรีลิเทียมไอออนได้อย่างมหาศาล
ทีมวิจัยระบุว่า การเปลี่ยนแปลงความหนาของอิเล็กโทรด การอัดแน่นของอิเล็กโทรดระหว่างการใช้งาน และชนิดของสารตัวนำที่ใช้ในโครงสร้างที่มีวิศวกรรมแบบใหม่ จะช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ให้สามารถประจุไฟได้มากครั้งขึ้น โดยการออกแบบแบตเตอรี่ใหม่นี้ให้ความหนาแน่นของกระแสมากกว่าแบตเตอรี่ ปัจจุบัน 4 เท่า (แบตเตอรีปัจจุบันมีความหนาแน่นกระแส 1,100 วัตต์ต่อกิโลกรัม) และถูกออกแบบเพื่อใช้สำหรับพลังงานที่ได้จากลม ฟาร์มเซลล์แสงอาทิตย์ และยานยนต์
ระหว่างแถลงข่าว ZSW ไม่ได้เผยว่าพวกเขาตั้งเป้าส่งแบตเตอรี่แบบใหม่ไปยังผู้ผลิตเพื่อใช้สำหรับ รถยนต์หรืออุปกรณ์สำรองพลังงานทางเลือก ซึ่ง Phys.org ตีความว่าทางบริษัทน่าจะกำลังทดสอบว่า แบตเตอรี่ไม่เพียงแค่ทนอย่างเดียว แต่ประหยัดพลงงานด้วย โดยทางบริษัทยังระบุด้วยว่า ได้ออกแบบเซลล์พลังงานแบบใหม่เอง รวมถึงกำลังพัฒนากระบวนการผลิตระดับอุตสาหกรรมสำหรับแบตเตอรีด้วย
Friday, June 14, 2013
Review : Samsung Galaxy S4 สเปกเทพ ฟีเจอร์เยี่ยม
Galaxy S4 ถือเป็นอีกหนึ่งสุดยอดสมาร์ทโฟนสำหรับผู้ที่ชื่นชอบระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ต้องลองสัมผัสดู เพราะนอกจากจะชูความโดดเด่นที่สเปกเครื่องแล้ว ทางซัมซุงยังได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ต่างๆเข้ามารวมไว้ด้วยกัน เพื่อให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้กลายเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์สำคัญในชีวิตประจำวัน
สิ่งที่มาการันตีความสามารถของ Galaxy S4 คงหนีไม่พ้นการที่กูเกิล เลือก Galaxy S4 ให้กลายเป็น Nexus Phone รุ่นล่าสุด ที่ทางกูเกิลประกาศภายในงานประชุมนักพัฒนาช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในชื่อ Galaxy S4 Nexus ทำให้เห็นว่าสเปกของเครื่องรุ่นนี้กำลังจะกลายเป็นมาตรฐานสำคัญสำหรับนัก พัฒนาแอปพลิเคชัน ที่จะต่อยอดนำฟีเจอร์ต่างๆของตัวเครื่องให้ออกมาเป็นแอปพลิเคชันที่ใช้ใน ชีวิตประจำวันได้มากขึ้น
การออกแบบและสเปก
ในแง่ของการออกแบบก็ต้องยอมรับว่า Galaxy S4 แทบไม่แตกต่างจากรุ่นที่ออกมาก่อนหน้านี้อย่าง Galaxy S3 หรือ Galaxy Grand แต่จุดที่ทำให้ Galaxy S4 แตกต่างออกไปคงหนีไม่พ้นในเรื่องของวัสดุ ที่แม้จะใช้พลาสติกแบบโพลีคาร์บอเนตเป็นหลัก แต่สัมผัสของตัวเครื่องที่ได้กลับดูแข็งแรงดี ที่สำคัญคือตัวเครื่องก็มีน้ำหนักเบาลง
โดยรอบตัวเครื่องจะมีการนำขอบโครเมียมมาใช้งานเพิ่มความหรูหราให้ตัว สินค้า ขนาดของตัวเครื่อง Galaxy S4 อยู่ที่ มิลลิเมตร น้ำหนัก กรัม เบื้องต้นเริ่มวางจำหน่าย 2 สีคือ ขาว และ ดำ แต่ก็เชื่อว่าในอนาคตอาจจะมีสีอื่นตามของมาเหมือนตอนที่ Galaxy S3 วางจำหน่ายนั่นเอง
ด้านหน้า - ไล่จากส่วนบนจะประกอบไปด้วยแถบลำโพงสนทนา โดยมีเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว ตรวจจับใบหน้า ปรับความสว่างหน้าจอ ไฟแสดงสถานะ และกล้องหน้าความละเอียด 2 ล้านพิกเซล โดยมีโลโก้ซัมซุงสีเงินพาดอยู่ตรงกึ่งกลาง
ถัดลงมาเป็นหน้าจอ Full HD Super AMOLED ความละเอียด 1,920 x 1080 พิกเซล ขนาด 4.99 นิ้ว ซึ่งถ้าสังเกตเวลาใช้งานจะรู้สึกว่าหน้าจอมีขนาดใหญ่กว่านั้นเล็กน้อย โดยซัมซุงให้เหตุผลว่ามีการนำจอแบบโค้งมาใช้งาน ทำให้ได้มุมมองที่กว้างขึ้น ส่วนล่างหน้าจอมีปุ่มเมนู และย้อนกลับแบบสัมผัส โดยยังคงปุ่มโฮมแบบกดไว้เช่นเดิม
ด้านหลัง - ไล่จากขอบบนลงมาจะมีกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช และสัญลักษณ์ของซัมซูงอยู่ตรงกึ่งกลาง โดยมีช่องลำโพงอยู่ที่ส่วนล่าง ตัวเครื่องสามารถถอดฝาหลังออกมาเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ขนาด 2,600 mAh ได้ ภายในมีช่องใส่ไมโครซิมการ์ด และไมโครเอสดีการ์ด รองรับสูงสุด 64 GB
ด้านซ้าย - มีเพียงปุ่มปรับระดับเสียงเท่านั้น ด้านขวา - เป็นที่อยู่ของปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง และช่องแงะฝาหลัง
ด้านบน - เป็นช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ไมค์ตัดเสียงรบกวน และเซ็นเซอร์อินฟาเรตที่ใช้ควบคุมโทรทัศน์และอุปกรณ์ต่อพ่วงได้ ด้านล่าง - มีพอร์ตไมโครยูเอสบี และไมโครโฟนสนทนา
สำหรับสเปกภายในของ Galaxy S4 จะมาพร้อมกับ หน่วยประมวลผลแบบ Octacore ที่เป็นควอดคอร์ 1.6 GHz และควอดคอร์ 1.2 GHz RAM 2 GB หน่วยความจำที่ให้มาภายในตัวเครื่อง 16 GB เหลือให้ใช้งานประมาณ 8 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.2.2 รองรับการเชื่อมต่อ 3G ทุกคลื่นความถี่ ให้ความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุด 42 Mbps รองรับ WiFi 802.11 a/b/g/n/ac บลูทูธ จีพีเอส และ NFC
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
สิ่งที่น่าสนใจในเครื่อง Galaxy S4 มีให้เล่นกันตั้งแต่หน้าจอปลดล็อกที่ผู้ใช้งานสามารถตั้งคำบรรยายที่หน้าจอ ได้ด้วยตนเอง ด้วยการกดรูปเครื่องหมายดินสอที่จะมีขึ้นมาหลังจากสัมผัสตรงหน้าจอปลดล็อก ซึ่งนอกจากใส่คำบรรยายด้วยตัวเองยังสามารถเลือกรูปแบบฟอนต์ หรือสีอักษรได้อีกด้วย
การปลดล็อกหน้าจอทำได้ด้วยการลากนิ้วบริเวณล่างนาฬิกาเพื่อปลดล็อก หรือถ้าไม่ต้องการปลดล็อกแต่เลือกใช้เมนูไอค่อนลัดก็สามารถใช้นิ้วลากปาด ซ้ายขวาบริเวณพื้นที่ตั้งแต่นาฬิกาขึ้นไป ซึ่งจะมีทั้งในส่วนของไอค่อนลัดเข้าแอปพลิเคชันต่างๆ และวิตเจ็ตอื่นๆให้เลือกใช้กัน
สำหรับวิตเจ็ตที่มีให้เลือกใช้บริเวณหน้าจอที่ยังไม่ปลดล็อกจะประกอบ ไปด้วย นาฬิกา การแจ้งเตือน อีเมล โน้ตย่อ ระบบแสดงข้อมูลที่สำคัญของ Google Now ข้อความ ปุ่มควบคุมเครื่องเล่นเพลง รีโมททีวี ข้อมูลข่าวสารต่างๆจากยาฮูเป็นต้น
ขณะที่เมื่อปลดล็อกหน้าจอเข้ามาก็จะพบกับ TouchWiz UI ที่คุ้นเคยกันดีสำหรับผู้ใช้งานซัมซุง โดยแน่นอนว่าผู้ใช้ยังสามารถเลือกนำไอค่อนลัด วิตเจ็ตต่างๆมาเรียงใส่ในหน้าหลักได้เหมือนเดิม นอกจากนี้ฟีเจอร์อย่าง MuitiScreen ที่เป็นแถบไอค่อนลัดให้เลือกลากแอปฯออกมาใช้้แบบแบ่งหน้าจอก็ยังมีให้ได้ใช้ งานกันอยู่ (การเรียกใช้งานแถบไอค่อนลัดให้กดปุ่มย้อนกลับค้างไว้)
ย้อนกลับไปในขั้นตอนการตั้งค่าเครื่องก่อนใช้งาน จะมีสอนการเรียนรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของเครื่อง Galaxy S4 กันไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์ส่งข้อมูลผ่านบลูทูธและไวไฟไดเร็คที่ใช้ NFC เป็นตัวเชื่อมอย่าง S Beam ระบบ AirView ที่จะแสดงผลเนื้อหาบนหน้าจอในขณะที่นำนิ้วจ่อๆไว้ที่หน้าจอ
รวมถึงระบบใหม่ๆอย่างการใช้งานโดยไม่สัมผัสตัวเครื่อง (ใช้มือปาดเพื่อเลื่อนรูปภาพ หรือรับโทรศัพท์) ควบคุมด้วยเสียง (สั่งเล่นเพลง เปลี่ยนเพลง) พักหน้าจออัจฉริยะ (ตรวจจับสายตาว่ายังจ้องหน้าจออยู่หรือไม่ ถ้าจ้องอยู่หน้าจอจะไม่ดับ) หยุดเล่นไฟล์ภาพยนต์อัตโนมัติ (ในขณะรับชมภายนตร์เมื่อหันหน้าออกจากหน้าจอจะหยุดเล่น)
โดยในการใช้งานคำสั่งต่างๆหน้านี้ผู้ใช้จำเป็นต้องเปิดการใช้งานเสีย ก่อน ซึ่งถ้าต้องการเปิด ปิดหรือตั้งค่าใดๆ ก็สามารถใช้การลากนิ้วจากขอบบนหน้าจอเพื่อเรียกหน้าจอการแจ้งเตือนลงมา แล้วกดที่มุมขวาบนเพื่อแสดงแถบควบคุมลัดต่างๆเหล่านี้ได้ทันที
ในขณะที่แอปพลิเคชันที่ให้มาภายในเครื่องยังคงเป็นมาตรฐานทั่วไปของ แอนดรอยด์ แต่จะมีในส่วนของแอปฯซัมซุงเพิ่มขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นแอปแชทอย่าง ChatON แหล่งรวมแอป Samsung Apps แหล่งรวมคอนเทนต์ Samsung Hub บริการคลาวด์สำหรับเข้าถึงไฟล์บนเครื่อง Link ระบบสั่งงานด้วยเสียง S Voice
แอปแปลภาษาที่สามารถฟังและออกเสียงได้ S Translator สมุดจดบันทึกที่ใช้นิ้วขีดเขียนแทนได้อย่าง S Memo แอปเพื่อสุขภาพ S Health ฟังก์ชันควบคุมและสั่งงานมัลติมีเดียหลายๆเครื่องอย่าง GroupPlay เมื่อรวมกับแอปสิทธิพิเศษอย่าง Galaxy Gift Galaxy Bookstore Galaxy EatOut และ Galaxy Kids ที่มีเฉพาะในไทย ก็คือว่าให้มาค่อนข้างครอบคลุมการใช้งานในทุกๆกลุ่ม
ที่นี้มาดูรายละเอียดเจาะลึกในแต่ละโปรแกรมไล่กันตั้งแต่ Samsung Link โดยคอนเซปต์ของการใช้งานแล้ว มีขึ้นมาเพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สาย ให้สามารถแชร์ และเล่นคอนเทนต์ข้ามกันได้แบบไร้สาย นั่นรวมถึงการเข้าถึงข้อมูลเครื่องผ่านพีซี โน้ตบุ๊ก และสมาร์ททีวี
ซึ่งในการใช้งานเมื่อลงทะเบียนบัญชีผู้ใช้ในสมาร์ทโฟนเรียบร้อย ก็ให้เข้าไปยังลิงก์ link.samsung.com เพื่อติดตั้งโปรแกรมเสริมในพีซีก่อน หลังจากนั้นล็อกอินเข้าใช้งานก็จะสามารถเข้าถึงข้อมูลที่แชร์กันระหว่าง สมาร์ทโฟนและพีซีได้ทันที นอกจากนี้ก็ยังมีบริการอัปโหลดคอนเทนต์ไปเก็บไว้ยังบริการคลาวด์อย่าง SugarSync Dropbox และ SkyDrive อีกด้วย
Watch On ถือเป็นแอปพลิเคชันที่นำความสามารถของเซ็นเซอร์อินฟาเรตมาใช้งานในการควบคุม อุปกรณ์ให้ความบันเทิงภายในบ้าน ทั้งโทรทัศน์ กล่องดาวเทียม เครื่องเล่นดีวีดี บลูเรย์ ชุดโฮมเธียเตอร์ หรือแม้กระทั่งโปรเจกเตอร์ ซึ่งเมื่อเลือกเข้าไปตั้งค่าก็จะมีแบรนด์ต่างๆให้เลือก หลังจากนั้นก็สามารถนำไปใช้งานได้ทันที
ในส่วนของ AirView ยังคงสามารถใช้งานได้ในแอปพลิเคชันเฉพาะอย่าง Calendar เพื่อดูรายละเอียดของตารางนัดหมายโดยไม่ต้องกดเข้าไปในแต่ละวัน และในอัลบั้มรูปที่ใช้นิ้วจ่อๆเพื่อดูรูปภายในโฟลเดอร์ได้นั่นเอง ส่วน S Memo ก็ยังคงความสามารถเช่นเดียวกับใ Note 2 เพียงแต่เปลี่ยนจากการใช้ S Pen มาเป็นนิ้วมือแทนนั่นเอง
S Health ถือเป็นแอปที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการรักษาสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการออกกำลังกาย หรือ ควบคุมอาหารให้ได้ปริมาณเพียงพอตามความต้องการของร่างกาย โดยเมื่อเปิดใช้งานแอปจะมีให้กรอกวันเดือนปีเกิด น้ำหนัก ส่วนสูง และปริมาณกิจกรรมออกกำลังกาย เพื่อให้แอปนำไปคำนวนค่าที่เหมาะสม
หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่หน้าหลักที่มีเมนูให้เลือกแบ่งเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆคือ การควบคุมแคลลอรี่ ผ่านการเดิน การออกกำลังกาย การวิ่ง และอาหารที่รับประทาน สภาพอากาศรอบตัวทั้งอุณหภูมิ และความชื้นสัมพัทธ์ สุดท้ายคือสมุดบันทึก ที่ให้ผู้ใช้คอยบันทึกน้ำหนักเพื่อดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
เมื่อเข้ามาในหน้าเกี่ยวกับการออกกำลังกาย ก็จะมีปริมาณแคลลอรี่ต้องร่างกายต้องเผาผลานเป็นเป้าหมายในแต่ละวันไว้ ถ้าผู้ใช้งานมีกิจกรรมออกกำลังกายใดๆ ก็สามารถเลือกประเภท ใส่นาทีที่เล่นระบบก็จะคำนวนออกมาให้ทันที หรือจะใช้แอป Running Pro ควบคู่กันไปสำหรับนักวิ่งก็ได้เช่นเดียวกัน
ในส่วนของการควบคุมอาหาร ก็จะมีข้อมูลมาให้กรอกอาหารที่รับประทานในแต่ละวัน ประกอบไปด้วย 3 มื้อหลัก และอื่นๆ โดยเมื่อกดเข้าไปก็จะมีรายชื่ออาหารให้ไว้ค้นหา ก็ให้ทำการเลือกแล้วระบบจะทำการคำนวนให้ทันทีว่ารับประทานเข้าไปทั้งถึง ปริมาณที่กำหนดไว้หรือยัง
ซึ่งสำหรับระบบ S Health ก็เปรียบเสมือนแอปพลิเคชันสำหรับผู้ที่ต้องมีวินัยในตนเอง ทั้งในแง่ของการออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร รวมไปถึงการที่ต้องคอยมากรอกข้อมูลเข้าไปไว้ในแอปพลิเคชันเพื่อให้ได้ผลตาม ที่หวังไว้นั่นเอง
ถัดมาในส่วนของระบบโทรศัพท์ Galaxy S4 มาพร้อมกับระบบเดาหมายเลขโทรศัพท์ และรายชื่อ เมื่อกดไปสัก 2-3 ตัวก็จะมีรายชื่อ (ลูกศรลงพร้อมตัวเลขหลังชื่อ) ให้เลือกกดใช้งานได้ทันที สำหรับหน้าจอขณะสนทนาก็จะประกอบไปด้วย ชื่อ หมายเลข เวลาโทร สัญลักษณ์ตัดเสียงรบกวน พักสาย เพิ่มสาย วางสาย เปิดลำโพง ปิดเสียง หรือเลือกใช้บลูทูธตามปกติ
สำหรับในส่วนของแว็บเบราว์เซอร์ มีทั้งตัวเบราว์เซอร์ปกติ และ Chrome การตอบสนองทำได้รวดเร็วขึ้นอย่างสัมผัสได้ และแน่นอนว่าฟีเจอร์พิเศษอย่างการเลื่อนหน้าจอโดยไม่ต้องสัมผัสก็สามารถใช้ งานกับเว็บเบราว์เซอร์
โดยการทำงานของ Air VIew ในหน้าจอเบราว์เซอร์ จะทำงานโดยการที่ใช้กล้องหน้าตรวจสอบระยะขนานของใบหน้าผู้ใช้ เมื่อตรวจสอบแล้วจะขึ้นสัญลักษณ์ดวงตาสีเขียวที่หน้าจอ หลังจากนั้นตัวเครื่องก็จะใช้ระบบ Gesture ที่มีในเครื่องตรวจจับองศาการหงายหรือคว่ำเครื่อง เพื่อเลื่อนหน้าจอ
อีกจุดเด่นหนึ่งที่น่าสนใจใน Galaxy S4 คงหนีไม่พ้นเรื่องของโหมดกล้อง ที่มีมาให้เลือกทั้งถ่ายภาพปกติแบบอัตโนมัติ โหมดหน้าสวย (ปรับให้ภาพเนียน) รูปภาพที่ดีที่สุด (ถ่ายหลายรูปติดต่อกันแล้วเลือกรูปที่ดีที่สุด) เบสท์เฟส (ถ่ายภาพหลายๆภาพแล้วเลือกใบหน้าทีดีที่สุด)
เสียงและช็อต (เป็นการถ่ายภาพนิ่ง หลังจากนั้นจะบันทึกเสียงรอบข้างในขณะนั้น) ดราม่า (การถ่ายภาพต่อเนื่องแล้วนำมาประมวลผลวัตถุที่มีการเคลื่อนไหวออกมาเป็นภาพ ต่อเนื่อง) รูปภาพเคลื่อนไหว (การบันทึกภาพเคลื่อนไหว ที่สามารถปรับแต่งได้ว่าจะให้จุดไหนหยุดนิ่งหรือเคลื่อนไหวแล้วแปลงภาพออกมา เป็นไฟล์ Gif) HDR (ถ่ายภาพชดเชยแสง)
ยางลบ (การถ่ายภาพบุคคล ต่อเนื่องหลายๆช็อตแล้วระบบจะทำการประมวลผลวัตถุที่เคลื่อนไหวเพื่อลบทิ้ง) พานอราม่า (การถ่ายภาพทิวทัศน์ในมุมกว้าง ใช้การเคลื่อนกล้องในแนวต่างๆ) กีฬา (การถ่ายภาพด้วยชัตเตอร์ความเร็วสูง) และกลางคืน
นอกจากนี้ก็ยังมีในส่วนของ Dual Camera หรือการถ่ายภาพจากกล้องหลัง และกล้องหน้าพร้อมกัน โดยภาพจากกล้องหน้าจะไปแปะอยู่ในรูปคล้ายกับสแตมป์บนซองจดหมาย โดยผู้ใช้สามารถใช้นิ้วย่อ ขยายขนาดช่องสี่เหลี่ยมได้ด้วย
สุดท้ายส่วนของโหมดถ่ายวิดีโอ ตัวกล้องสามารถถ่ายภาพเคลื่อนไหวที่ความละเอียด 1080p แน่นอนว่ายังมีความสามารถของแอนดรอยด์ 4.2 ในการบันทึกภาพนิ่งขณะถ่ายภาพเคลื่อนไหวได้ด้วยเช่นเดียวกัน
ในส่วนของผลการทดสอบ ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Quadrant Standart และ Antutu ได้คะแนน 11,766 คะแนน และ 26,725 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 10 จุดพร้อมกัน
ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo ได้ 2,003 คะแนน ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ 1,015 คะแนน ทดสอบกราฟิกผ่าน Nenamark1 และ Nenamark2 59.9 fps An3dBench 7,994 คะแนน และ An3dBenchXL 46,415 คะแนน
ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม Passmark PerformanceTest Mobile ได้คะแนน System 4,279 คะแนน CPU 16,334 คะแนน Disk 23,672 คะแนน Memory 3,163 คะแนน 2D Graphics 2,941 คะแนน และ 3D Graphics 1,429 คะแนน
ส่วนการทดสอบ CF-Bench ดูรายละเอียดได้จากรูปด้านล่าง
โดยถ้ามองคะแนนของการทดสอบเครื่อง ก็ต้องยอมรับว่าในตอนที่เครื่อง Galaxu S4 วางจำหน่าย ถือว่าเป็นเครื่องที่มีสเปกดีที่สุดในท้องตลาดขณะนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นไปตามที่ซัมซุงคาดหวังไว้ว่าตัวเครื่องต้องเป็นผู้นำใน ท้องตลาดให้ได้นั่นเอง
จุดขาย
- สเปกเครื่องจัดเต็มทั้งซีพียู Octa Core จอ FullHD รับ 3G ดาวน์โหลดสูงสุด 42 Mbps
- ตัวเครื่องมีน้ำหนักเบา งานประกอบดูดีขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
- แบตเตอรี่ที่ให้มา 2,600 mAh ช่วยให้ใช้งานได้เต็มวัน
- พัฒนาเซ็นเซอร์ต่างๆออกมาเป็นฟีเจอร์ได้ตอบสนองการใช้งาน
- อัดลูกเล่นอย่างกล้อง S-Health รีโมทควบคุม มาเพิ่มความน่าใช้งาน
ข้อสังเกต/ตอบจุดขายหรือไม่
- ตัวเครื่องร้อนค่อนข้างง่ายจากหน่วยประมวลผล Octa Core
- สัมผัสที่ได้ของวัสดุที่แม้จะเป็นพลาสติกคุณภาพสูง แต่ก็ยังดูบอบบาง
- ด้วยการที่ใส่ฟีเจอร์มาเยอะเกินไปทำให้กินพื้นที่เก็บข้อมูลไปด้วย เครื่อง 16 GB เหลือให้ใช้งานเพียง 8 GB
ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป
ต้องยอมรับว่าด้วยการทุ่มทำตลาดสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน ส่งผลให้ซัมซุง กลายเป็นแบรนด์ที่หลายคนนึกถึงทันที เมื่อพูดถึงสมาร์ทโฟน และด้วยฟีเจอร์ในเครื่อง Galaxy S4 ที่ให้มา ยิ่งช่วยตอกย้ำความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของซัมซุงได้มากขึ้น จากลูกเล่นที่สามารถสื่อไปยังผู้บริโภคได้อย่างหลากหลาย ดังจะเห็นได้จากการทำตลาดในช่วงหลังที่ซัมซุงเน้นการให้ข้อมูลของฟีเจอร์ มากกว่าสเปกเครื่องอย่างเห็นได้ชัด
ด้วยความสามารถโดยรวมของ Galaxy S4 เมื่อเทียบกับราคาเปิดตัวที่ 21,900 บาท ไม่ถือว่าเป็นราคาที่สูงเกินไป เพราะสิ่งที่ให้มาในตัวเครื่องเรียกได้ว่าเป็นการนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดใน ปัจจุบันมารวมไว้ในตัวเครื่อง ประกอบกับสินค้าในตระกูลแฟลกชิปของซัมซุง จะได้รับการอัปเดตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่องด้วย
ท้ายนี้ถ้าเป็นผู้บริโภคที่ชื่นชอบและติดตามเทคโนโลยี รวมกับมีงบประมาณถึง Galaxy S4 ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากที่สุดในขณะนี้ในแง่ของฟีเจอร์การใช้งานที่ หลากหลาย แต่ถ้าต้องการสมาร์ทโฟนที่ดูหรูหราดูท่าแฟลกชิปจากค่ายคู่แข่งยังมีภาษี มากกว่านิดหน่อย
แต่จุดหนึ่งที่ทำให้ผู้ที่ชื่นชอบแบรนด์ซัมซุงต้องลังเลเล็กน้อยจาก ประสบการณ์เมื่อตอนซัมซุงวางจำหน่าย Galaxy S3 คือ การมาของ Galaxy Note2 ที่ดูแล้วหลังจากนี้ไม่นานก็จะมี Galaxy Note3 ตามหลัง Galaxy S4 ออกมาในขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น พร้อมกับฟีเจอร์ที่เพิ่มเติมไปจาก Galaxy S4 ซึ่งจุดต่างที่ต้องตัดสินใจคงหนีไม่พ้นเรื่องของขนาดหน้าจอระหว่าง 5 นิ้ว และ 6 นิ้วกว่าๆที่จะมาตอบสนองการใช้งานได้ดีที่สุดนั่นเอง
สำหรับข่าวคราวล่าสุดของ Galaxy S4 คงหนีไม่พ้นยอดการจัดส่งไป 10 ล้านเครื่องภายในเวลาไม่ถถึง 1 เดือน ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของซัมซุงในการจำหน่ายโทรศัพท์ในขณะนี้
Company Related Links :
Samsung
Review: iOS 7 Beta 1 เปลี่ยนโฉมใหม่
หลังจากมีการเปลี่ยนตัวดึง Jonathan Ive มาเป็นผู้ดูแลโครงการระบบปฏบัติการไอโอเอสสำหรับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตของแอ ปเปิล ทำให้หน้าตาไอโอเอสเดิมๆ ที่ถูกใช้มาอย่างยาวนานหลายปีต้องมีการปรับเปลี่ยนใหม่หมด
"ด้วยหลักการและแนวคิดของ Ive ที่ชื่นชอบการออกแบบที่เรียบง่าย เน้นใช้เส้นสายให้ดูหรูหราขึ้นแบบ Minimalist (มินิมัลลิสต์) ดังจะเห็นได้จากคอมพิวเตอร์ MacBook หลายๆ รุ่น ที่ไอฟ์เป็นผู้ออกแบบ"
iOS 7 จึงกลายการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญของแอปเปิลกับหน้าตาใหม่หมดรวมไปถึงระบบการ ใช้งานบางส่วนที่มีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมจนผู้ใช้เดิมอาจต้องใช้เวลาสร้าง ความคุ้นชินก่อนใช้งาน และในวันนี้ทีมงานไซเบอร์บิซจะพาไปเจาะลึก iOS 7 ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเพื่อเป็นไกด์ลายน์ให้สาวกค่ายผลไม้เมื่อ iOS 7 ปล่อยให้ดาวน์โหลดจริงใช้ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม
เริ่มจากหน้าแรก Lock Screen และ Home Screen จะเห็นว่าแอปเปิลเปลี่ยนดีไซน์ไอโอเอสให้เป็นแบบแบนเรียบ (Flat Design) โดยเฉพาะภาษาไทยที่มีการเปลี่ยนฟอนต์ใหม่ไร้หัว และตัดปุ่ม slide to unlock ออกให้เหลือแต่ตัวอักษร ซึ่งผู้ใช้สามารถปลดล็อคหน้าจอได้ด้วยการนำนิ้วปาดจากซ้ายไปขวาที่บริเวณใด ก็ได้ของหน้าจอ Lock Screen
ในส่วนเสาสัญญาณก็มีการปรับเปลี่ยนจากเดิมที่เป็นบล็อกสี่เหลี่ยม เป็นวงกลมจุดไข่ปลา 5 จุด ซึ่งแอปเปิลบอกว่าทำให้สังเกตขีดสัญญาณโทรศัพท์ได้ง่ายกว่าแบบเป็นบล็อกสี่ เหลี่ยม รวมถึงสถานะแบตเตอรีก็มีการขยายให้ใหญ่ และถ้าเสียบสายชาร์จทิ้งไว้จะมีไอคอนสายฟ้ากระพริบบอกสถานะของเครื่องว่า กำลังชาร์จไฟอยู่
นอกจากนั้นในหน้า Lock Screen ผู้อ่านยังสามารถเรียก Notification Center ด้วยการปาดนิ้วจากด้านบนขอบจอลงมา ส่วนถ้าปาดนิ้วจากขอบจอด้านล่างขึ้นไปจะเป็นการเรียก Control Center
มาดูในหน้า Home Screen จะมีการเปลี่ยนแปลงไอคอนของแอปฯ ใหม่โดยตัดเรื่องแสงเงา ความสมจริงออก เป็นไอคอนแบนๆ เน้นสีสันมากขึ้น
ในส่วน Search iPhone จากเดิมใช้วิธีนำนิ้วปาดจากซ้ายไปขวาในหน้า Home Screen แต่ใน iOS 7 จะใช้วิธีปาดลงเมื่ออยู่ในหน้า Home Screen และเมื่อพิมพ์คำค้นหาจะปรากฏผลลัพธ์ในการค้นหาทันที
ด้านคีย์บอร์ดสำหรับ iOS 7 Beta 1 จะมีการปรับดีไซน์ใหม่เล็กน้อย โดยเปลี่ยน Background ให้เป็นโปร่งใสแบบเลเยอร์ซ้อนเลเยอร์จากเดิม Background คีย์บอร์ดจะเป็นสีเท่าทึบ และภาษาไทยส่วนของวรรณยุกต์จะเพิ่มจุดไข่ปลาคั่นไว้ให้สังเกตง่ายขึ้น
Apps Group การรจัดกลุ่มแอปฯ ใน iOS 7 จะถูกปรับเปลี่ยนให้สามารถใส่แอปฯ ในหนึ่งกลุ่มได้มากขึ้น
Notification Center and Control Center กับการปรับเปลี่ยนใหม่ เริ่มจาก Notification Center จะแบ่งการแจ้งเตือนเป็น 3 รูปแบบ เริ่มจาก today คือการแจ้งเตือนในส่วนการนัดหมาย สภาพอากาศ เป็นต้น ส่วน all จะเป็นการแจ้งเตือนจากแอปฯ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Line, Facebook, Instragram และสุดท้าย missed คือส่วนเก็บการแจ้งเตือนที่ผู้ใช้ไม่ได้อ่าน เช่น มีการแจ้งเตือนมาในหน้า Lock Screen แต่ผู้ใช้ไม่ได้กดดู การแจ้งเตือนนั้นจะถูกเก็บไว้ในส่วนของ missed
ส่วน Control Center (นำนิ้วปาดจากล่างจอขึ้นบน) จะเป็นเมนูลัดสำหรับเปิดปิด Airplane Mode, WiFi, Bluetooth, do not disturb (ห้ามรบกวน) และล็อคการหมุนของหน้าจอ
นอกจากนั้นยังสามารถปรับแสงสว่างหน้าจอ มัลติมีเดียและสามารถกดเข้าแอปฯ ด่วน 4 แอปฯ ที่แอปเปิลเลือกไว้ให้ ได้แก่ ไฟฉาย นาฬิกาปลุก เครื่องคิดเลข และกล้องถ่ายภาพ
Multitasking แบบใหม่ เดิมทีระบบ Multitasking (เรียกใช้โดยกดปุ่มโฮม 2 ครั้งติดกัน) จะเป็นรูปไอคอนแสดงเพียงอย่างเดียว แต่ใน iOS 7 Multitasking จะสามารถแสดงภาพหน้าต่างแอปฯ ที่ใช้งานคู่กับไอคอนแอปฯ และวิธีการปิดแอปฯ ที่รันอยู่ก็ทำได้ง่ายกว่าเก่าเพียงกดตรงแอปฯ ที่ต้องการปิดจากนั้นก็ปาดนิ้วขึ้นไป แอปฯ จะปิดตัวลง
อีกทั้ง Multitasking แบบใหม่ ยังสามารถใช้ในแนวนอนได้ด้วย
Weather App แอปเปิลยังคงเรียกใช้บริการตรวจสอบสภาพอากาศจาก Yahoo เหมือนเดิม แต่จะมีการปรับเปลี่ยนหน้าตาของแอปฯ ให้สามารถแสดงสภาพอากาศแบบภาพเคลื่อนไหวที่สวยงามขึ้น (ดูตัวอย่างได้จากคลิปวิดีโอด้านล่าง)
Camera and Photo Filter หน้าตาของแอปฯ ถ่ายภาพบน iOS 7 Beta 1 มีการปรับเปลี่ยนใหม่ โดยการเปลี่ยนโหมดถ่ายภาพสามารถทำได้โดยใช้นิ้วปาดจากขวาไปซ้าย ไล่ตั้งแต่ Video, Photo, Square (ถ่ายภาพแบบ 1:1 ตาม Instagram สไตล์) และ Pano (พาโนรามา) ส่วนการถ่ายแบบ HDR ก็มีการปรับตำแหน่งปุ่มให้ง่ายขึ้น ด้วยการวางปุ่ม HDR ไว้เหนือปุ่มชัตเตอร์จากเดิมต้องกดเข้าไปใน Options ก่อนถึงจะเปิดใช้งานได้
และสำหรับผู้ใช้ ไอโฟน 5 ไอพอด ทัชตัวใหม่ จะสามารถใช้งานฟีเจอร์ Real-Time Effect Filter สำหรับใช้ตกแต่งภาพถ่าย เช่น เอฟเฟ็กต์ Noir, Process, Fade เป็นต้น
AirDrop on iOS เทคโนโลยี AirDrop คือเทคโนโลยีรับ-ส่งไฟล์ผ่านระบบไร้สาย (WiFi, Bluetooth) ระหว่าง iOS Device กับ iOS Device โดยไม่ต้องพึ่งพาสัญญาณอินเตอร์เน็ตและ Cloud Storage ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ไอโอเอสดีไวซ์สามารถส่งไฟล์ภาพหาเพื่อนได้ง่ายขึ้น
Gallery ในส่วนของอัลบั้มภาพจะมีการเพิ่มส่วนรับชมภาพแบบใหม่ในชื่อ Moments ที่มีหลักการทำงานคือ ระบบจะจัดหมวดหมู่ภาพให้อัตโนมัติ โดยอ้างอิงจากสถานที่ๆ ถ่าย ไปถึงวันเวลาที่ถ่าย โดยรูปที่ถ่ายจากสถานที่เดียวกันจะรวมอยู่ด้วยกันพร้อมไล่วันที่ เวลาถ่ายให้สะดวกต่อการเรียกชมภาพ
Block Contact เป็นออปชันพิเศษในสมุดรายชื่อ โดยผู้ใช้ iOS 7 สามารถบล็อกเบอร์โทรศัพท์ไปถึง FaceTime และข้อความ ที่เราไม่ต้องการสนทนาได้
Music ในส่วนแอปฯ ฟังเพลงจะมีการทำงานคล้ายกับรูปแบบเดิม แต่ในแนวนอนรูปแบบการใช้งานจะเปลี่ยนไป กล่าวคือ จะเปลี่ยนรูปแบบแสดงผลจากปกอัลบั้มขนาดใหญ่ให้เหลือเป็นขนาดเล็กและจัด เลย์เอาท์เป็นตารางหมากรุกแทน โดยถ้าผู้ใช้อยากฟังเพลงจากอัลบั้มไหน ก็สามารถกดที่ปกอัลบั้มนั้นได้
อีกทั้งในเรื่องของระบบการทำงานก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน โดยผู้ใช้สามารถฟังเพลงที่ซื้อมาอย่างถูกลิขสิทธิ์จากไอจูนแบบสตรีมมิ่งออ นไลน์ผ่านระบบ iCloud โดยไม่ต้องกดดาวน์โหลดออกมาให้เปลืองพื้นที่โทรศัพท์
AppStore ในส่วนแอปสโตร์สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามานอกจากหน้าตาที่ปรับเปลี่ยนไปตาม iOS 7 แล้วก็คือออปชัน Near Me ที่เป็นออปชันรวมแอปฯ ยอดนิยมตามแต่ละพื้นที่ (จากพิกัด GPS) ที่เดินทางไป
เท่ากับว่าในอนาคตออปชัน Near Me ในแอปสโตร์จะช่วยให้ผู้ใช้ที่เดินทางไปต่างประเทศสามารถค้นหาแอปฯ ช่วยเหลือในการเดินทางของแต่ละประเทศได้ง่ายขึ้นกว่า Search ด้วยตัวเอง เพราะ Near Me จะเลือกเฉพาะแอปฯ ที่มี Rating โหวตสูงๆ มานำเสนอผู้ใช้เท่านั้น
นอกจากนั้น AppStore ตัวใหม่สามารถอัปเดตแอปฯ แบบอัตโนมัติได้ด้วย
New Compass เข็มทิศดิจิตอลเหมือนเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ iOS มองข้ามและแอปเปิลไม่เคยอัปเดตออปชันเพิ่มเติมให้เข็มทิศดิจิตอลมานานมาก แต่ใน iOS 7 Beta 1 แอปเปิลได้เพิ่มออปชันใหม่ให้เข็มทิศดิจิตอลเข้าไป 1 ออปชันก็คือ ระบบตรวจวัดความลาดเอียงของพื้น
ซึ่งรูปแบบการใช้งานจะเป็นวงกลมสีขาว 2 วงพร้อมองศาความลาดเอียงอยู่ตรงกลาง โดยวิธีใช้ก็เพียงนำไอโฟนไปวางที่วัตถุที่ต้องการวัดความลาดเอียง ถ้าวัตถุอยู่ในแนวระนาบตรงไม่ลาดเอียง วงกลมทั้ง 2 จะซ้อนกันและสีพื้นหลังจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว
Safari ซาฟารีใน iOS 7 Beta 1 ถูกปรับปรุงด้านหน้าตาเน้นการแสดงผลแบบเต็มจอทั้งแนวตั้งและแนวนอน โดยส่วนของ Address Bar และเมนูด้านล่าง จะถูกซ่อนเมื่อผู้ใช้ทำการเลื่อนหน้าเพจขึ้นไป และจะปรากฏอีกครั้งเมื่อผู้ใช้เลื่อนหน้าเพจลงมา
นอกจากนั้นในส่วนของแท็บก็ถูกปรับให้แสดงผลในรูปแบบ 3 มิติ และไม่จำกัดจำนวนแท็บเหมือนในไอโอเอสรุ่นเก่า รวมถึงช่อง Search จะถูกรวมไว้กับ Address Bar เหมือน Google Chrome และ Firefox แล้ว
Siri ในส่วนของสิริทางแอปเปิลได้มีการปรับเสียงพูดสิริใหม่ให้เป็นธรรมชาติ เหมือนมนุษย์มากยิ่งขึ้น (แต่ใน Beta 1 ยังเป็นเสียงเดิมอยู่) พร้อมหน้ากราฟิกใหม่กับเส้นเสียงที่ขยับตามเสียงพูดที่เราสั่งสิริออกไป รวมไปถึงความสามารถในการแก้ไขคำสั่ง (Tap to edit) ได้เองด้วยการพิมพ์ ถ้าสิริฟังคำสั่งเสียงของเราผิดหรือเพี้ยนออกไป
All-New User Interface Animation เรื่องสำคัญที่ไม่พูดถึงไม่ได้ และเป็นเรื่องสุดท้ายที่ผู้สนใจ iOS 7 ต้องรับชมอย่างไม่ควรหลีกเลี่ยง เพราะนี่คือส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนให้ iOS มีความน่าสนใจมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น Dynamic Wallpaper ที่เป็นภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเมื่อผู้ใช้เอียงตัวเครื่องภาพพื้นหลังจะเคลื่อนไหวตาม หรือแม้แต่เอฟเฟ็กต์ในหน้าโฮมสกรีนที่เปลี่ยนไปอย่างหรูหราดังคลิปวิดีโอ ด้านบน
นอกจากนั้นยังสามารถใช้ภาพพาโนรามามาตั้งเป็นภาพพื้นหลัง และสามารถหมุน เอียงเครื่องเพื่อให้ภาพไหลจากซ้ายมาขวา ขวามาซ้ายสำหรับรับชมภาพมุมกว้างได้ทั้งหมด
วิจารณ์หลังทดลองใช้งาน
เนื่องจาก iOS 7 ตัวที่ทีมงานได้รับมาทดสอบเป็น Beta 1 สำหรับนักพัฒนาที่ยังไม่สมบูรณ์นัก ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรีที่สูบเป็นเครื่องปั้มน้ำหรือแม้แต่ตัวเครื่องที่ร้อน ระอุตลอดเวลาเมื่อเปิดหน้าจอใช้งาน ปัญหาเหล่านี้ทีมงานคงไม่ขอวิจารณ์เพราะเข้าใจอยู่แล้วว่า Beta คือเวอร์ชันทดสอบ
แต่สิ่งหนึ่งที่ทีมงานได้สัมผัสและรู้สึกได้ตลอด 1 วันเต็มที่ได้ทดลองใช้งาน iOS 7 (Beta 1) ก็คือเรื่องการใช้งานและรูปแบบมินิมัลลิสต์ที่ยอมรับว่าแอปเปิลกล้าที่จะ เปลี่ยน ถึงแม้จะไม่ใช่การปรับเปลี่ยนที่แปลกใหม่ แหวกแนวนัก แต่ก็ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เติมเต็มจุดด้อยของ iOS ไปเกือบทั้งหมด
อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือเรื่องประสบการณ์การใช้งาน ใน iOS 7 Beta 1 ทีมงานรู้สึกว่าเลย์เอาท์ UI ใหม่ค่อนข้างจะตอบสนองต่อการใช้งานมือเดียวได้ดีกว่า iOS เวอร์ชันก่อนๆ โดยเฉพาะ Multitasking แบบใหม่ที่ขอการันตีว่าใช้มือเดียวสามารถเปิด ปิด สลับแอปฯ ได้สะดวกกว่าเดิมมาก
และมีเรื่องที่น่าเสียดายเหลือเกินที่เวอร์ชัน Beta 1 ไม่สามารถใช้งานฟีเจอร์ใหม่ถอดด้ามอย่าง iCloud Keychain หรือฟีเจอร์ที่ช่วยผู้ใช้จดจำและจัดการรหัสผ่าน รหัสบัตรเครดิตผ่านระบบ iCloud และใช้งานร่วมกับ OS X Mavericks ได้ ซึ่งใน Settings บน iOS 7 Beta 1 มีตัวเลือกดังกล่าวอยู่ (แถมในตัวเลือกยังสามารถตั้งรหัสรักษาความปลอดภัยตอนเรียกใช้ Keychain ได้ด้วย) แต่เมื่อจะทดลองใช้งานจริงผ่านซาฟารีก็ไม่สามารถใช้งานได้ จึงขอติดผู้อ่านไว้ก่อนครับ
นอกจากนั้นในส่วนระบบและส่วนประกอบอื่นๆ ทีมงานยังไม่ขอวิจารณ์ เพราะข้อผิดพลาดที่พบเห็นตลอดการทดสอบยังมากอยู่ รอให้ตัวเต็มปล่อยให้ดาวน์โหลดก่อนแล้ววันนั้นเราจะกลับมาวิจารณ์อีกครั้ง
**ไอโฟน 5 ขึ้นไป กับไอพอด ทัช เจน 5 ขึ้นไป จะสามารถใช้ฟีเจอร์บน iOS 7 ได้ครบทุกฟีเจอร์ ส่วนไอโฟน 4, 4S iPad 2, iPad Mini, iPad Gen 3, iPad Gen 4 จะใช้งานได้บางฟีเจอร์เท่านั้น
ที่มา CyberBiz Social
Subscribe to:
Posts (Atom)
Popular Posts
-
Skype (สไคป์) คือ โปรแกรมที่ใช้ติดต่อสื่อสารกันระหว่างผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยข้อความพร้อมเสียงและภาพจากกล้อง Webcam โดยจะเป็นการสื่อสารกันแบบ R...
-
บางครั้งตัวเบราเซอร์เองก็จำค่าอะไรต่างๆไว้ครับ แล้วเรียกค่าเดิมๆมาใช้ ทำให้แสดงผลเพี้ยนไป วิธีแก้ไขง่ายๆ กด Ctrl+Shift+Del แล้วล้างค่าทุ...
-
แจกฟรีแบบสติกเกอร์เป็นไฟล์ VECTOR ย่อขยายขนาดได้ตามต้องการ เอาไปเข้าเครื่องตัดสติเกอร์ได้เลย Sticker Discovery Turbo Download : ht...
-
ซอฟต์แวร์ฟรีสำหรับการจัดระเบียบ แก้ไข และพิมพ์ภาพถ่ายของคุณ และลองใช้ Picasa ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์รูปภาพที่ให้บริการฟรีของ Google ลองใช้ Picas...
-
เป็นโปรแกรมป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์ที่ติดอันดับต้นๆของโลกนะครับ มาให้โหลดแบบฟๆรีครับ ความสามารถป้องกันไวรัสได้ดีไม่แพ้ของที่เสียตังค์แต่อย่า...
-
แจกฟรีแบบสติกเกอร์เป็นไฟล์ VECTOR ย่อขยายขนาดได้ตามต้องการ เอาไปเข้าเครื่องตัดสติเกอร์ได้เลย Free Sticker Vector Warn go Prepared Down...
-
แจกฟรีแบบสติกเกอร์เป็นไฟล์ VECTOR ย่อขยายขนาดได้ตามต้องการ เอาไปเข้าเครื่องตัดสติเกอร์ได้เลย Sticker Isuzu Cameo 4x4 สำหรับ Club Cameo เลย ...
-
CCleaner เป็นfree software เปิดตัว ใน ปี 2004 โดยทีม Piriform ตัวโปรแกรมใช้ทำความสะอาดไฟล์ และปรับปรุงระบบในเครื่องของเราให้ดีขึ้น แก้ไ...
-
Galaxy S4 ถือเป็นอีกหนึ่งสุดยอดสมาร์ทโฟนสำหรับผู้ที่ชื่นชอบระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ต้องลองสัมผัสดู เพราะนอกจากจะชูความโ...
-
มีข่าวลือมาให้ติดตามกันตลอด ตลอดกับเว็บไซต์SamMobile เจ้าเก่าที่คราวนี้มาเผยถึงรายชื่อสมาร์ทโฟนเละเเท็บเเล็ตที่จะได้รับการอัพเดทระบบปฏิบัติก...